Article

สร้างสะพานเชื่อมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ



Available in /สามารถดูเป็นภาษา:

การสร้างสะพานเพื่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นสำหรับแรงงานข้ามชาติและลูก ๆ ของพวกเขาในภาคการก่อสร้างของไทย 

ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในระดับภูมิภาคสำหรับแรงงานข้ามชาติในฐานะทั้งต้นทาง จุดผ่าน และปลายทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคการก่อสร้างมีแรงงานข้ามชาติประมาณ 700,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้ 40% เป็นผู้หญิง (1)  แรงงานเหล่านี้มักพาบุตรหลานมาด้วยหรือมีลูกในประเทศไทย ซึ่งส่งผลให้มีเด็กประมาณ 60,000 (2) คน อาศัยอยู่ในแคมป์ที่พักสำหรับแรงงานก่อสร้างในสภาพแวดล้อมที่คล้ายกับสลัม เด็กเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญในแง่ของการเข้าถึงบริการสาธารณะ (เช่น การศึกษา การดูแลสุขภาพและการคุ้มครองเด็ก) รวมถึงการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย (3) ปัญหาด้านสุขภาพเป็นเรื่องที่ควรตระหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากแรงงานข้ามชาติมีอัตราความรอบรู้ด้านสุขภาพต่ำและถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน 

สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (ที่เรียกกันว่า สมุดสีชมพู) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการติดตามสุขภาพที่โรงพยาบาลมอบให้ในช่วงตั้งครรภ์นั้น มีข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กในช่วงต่าง ๆ  แม้ว่าการสำรวจจะชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของสมุดสีชมพู แต่ก็เผยให้เห็นถึงการขาดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้งานสมุดนี้ รวมถึงอุปสรรคด้านภาษา ซึ่งทำให้ผู้ปกครองไม่สามารถใช้งานสมุดชมพูได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ผลที่ตามมาคือ ความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็ก เช่น การฉีดวัคซีน มีอยู่อย่างจำกัด โดย 81.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขามีความรู้ที่จำกัดเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนสำหรับลูกของพวกเขา

การสำรวจยังประเมินความรู้ของผู้ตอบแบบสำรวจเกี่ยวกับโรคติดต่อทั่วไป  4 โรค ได้แก่ โรคมือเท้าปาก โรคไข้เลือดออก โรคอีสุกอีใส และโรคท้องร่วง โดยพบช่องว่างด้านความรู้ในประเด็นต่าง ๆ เช่น  

  • ความเสี่ยงและอาการของโรคมือเท้าปาก  

  • กลยุทธ์การป้องกันไข้เลือดออก  

  • การป้องกันและความเสี่ยงในการติดต่อของโรคอีสุกอีใส  

  • อาการและกลยุทธ์การป้องกันอาการท้องร่วง  

ช่องว่างความรู้เหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของแรงงานและลูก ๆ ของพวกเขา รวมถึงสร้างปัญหาเพิ่มเติมต่อความต่อเนื่องในการทำงานของพวกเขา เนื่องจากผู้ปกครองต้องหยุดงานเพื่อดูแลลูกที่ป่วย 

ความเข้าใจในความท้าทายด้านสุขภาพและความต้องการของแรงงานก่อสร้างและครอบครัวของพวกเขา

ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2567 มูลนิธิบ้านเด็ก (BDF) ได้ทำการสำรวจเพื่อศึกษาการเข้าถึงบริการสุขภาพและความรู้ด้านสุขภาพของแรงงานก่อสร้างโดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานของมูลนิธิฯและสร้างความร่วมมือกับบริษัทก่อสร้างเพื่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมที่ยั่งยืน การสำรวจนี้ใช้วิธีผสมผสานระหว่างเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจาก 75 ครัวเรือน ใน 21 ชุมชนเป้าหมายในจังหวัดเชียงใหม่ 

ข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการและการบูรณาการเข้ากับเครือข่ายสาธารณสุข 

ยังคงมีช่องว่างด้านความรู้ในกลุ่มแรงงานก่อสร้างเกี่ยวกับสิทธิรักษาพยาบาลของพวกเขาโดย 26.7% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาไม่ทราบสิทธิในเรื่องนี้ นอกจากนี้ 40% ของผู้ตอบแบบสำรวจรายงานว่าไม่มีบัตรประกันสุขภาพประเภทใดเลย (เช่น บัตรประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติหรือบัตรประกันสังคม) (4) ในบรรดาผู้ที่มีประกันสุขภาพ 54.7% ระบุว่าพวกเขาไม่ทราบขอบเขตความคุ้มครองที่ได้รับ 

แรงงานก่อสร้างยังพึ่งพาการค้นหาข้อมูลด้านสุขภาพด้วยตนเอง โดย 46.7% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าได้รับข้อมูลสุขภาพจากญาติหรือเพื่อนบ้าน 30% จาก Meta (Facebook) 21% จาก TikTok และ 30% จากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข  การสำรวจยังเผยให้เห็นช่องว่างด้านการแบ่งปันข้อมูลในชุมชน โดย 88% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าไม่มีแผนที่ตำแหน่งบริการสุขภาพในชุมชน  นอกจากนี้ 25.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าอุปสรรคด้านภาษาเป็นปัญหาหลักที่ขัดขวางการเข้าถึงบริการสาธารณะและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ

ฉันไม่สามารถเข้าใจเอกสารภาษาไทยและคำอธิบายจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข มันยากมากที่จะกรอกข้อมูลของตัวเองในเอกสารของโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา ฉันต้องพาเพื่อนบ้านที่พูดภาษาไทยได้ไปช่วยที่โรงพยาบาล
— ผู้ตอบแบบสำรวจ, พฤษภาคม 2567

ผลการสำรวจระบุว่า ชุมชนที่แรงงานก่อสร้างอาศัยอยู่นั้นไม่ได้รับบริการจากระบบอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ของประเทศไทย (5) โดย 69.3% ของผู้ตอบแบบสำรวจระบุว่าพวกเขาไม่เคยได้รับการเยี่ยมจากอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน  อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านเป็นโครงการด้านสุขภาพชุมชนที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมให้บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ให้ความรู้ และให้การสนับสนุนในระดับท้องถิ่น  อาสาสมัครเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงบริการสุขภาพ รวมถึงเฝ้าระวังและป้องกันโรคภายในชุมชน 

ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่ำเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กและโรคติดต่อตามฤดูกาล

มองไปข้างหน้า: การตอบสนองความต้องการและดำเนินการ

แนวทางเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มพลังให้ชุมชนและลดช่องว่างด้านความรอบรู้ด้านสุขภาพ

โดยภาพรวม ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า แม้ประเทศไทยจะมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ก้าวหน้า แต่แรงงานข้ามชาติก็ยังเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ เช่น การเข้าถึงข้อมูลด้านสาธารณสุขที่จำกัด การขาดความตระหนักรู้ ความรอบรู้ด้านสุขภาพต่ำ และอุปสรรคด้านภาษา  การแก้ไขปัญหาหลายมิติเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยรวมของเด็กและครอบครัวแรงงานข้ามชาติ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการรักษาพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และลดความเสี่ยงด้านภาพลักษณ์ในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาด

มูลนิธิบ้านเด็ก (BDF) กำลังพัฒนาโมเดลแนวทางเพื่อนช่วยเพื่อนที่ยั่งยืนและสามารถขยายผลได้ โดยมีอาสาสมัครด้านสุขภาพ (Health Focal Points หรือ HFPs) ที่ผ่านการฝึกอบรมในแคมป์งานก่อสร้างในเชียงใหม่ เพื่อเชื่อมโยงบริษัทก่อสร้างกับผู้ให้บริการสาธารณสุข พร้อมกับเพิ่มพลังให้ชุมชน  

การพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของแรงงานและลูก ๆ ผ่าน โครงการสร้างเสริมผลลัพธ์ที่ดีทางสังคม (BSI)

โมเดลแนวทางเพื่อนช่วยเพื่อนนี้มีศักยภาพที่จะขยายไปยังบีเอสไอ อินนิเชียทีฟ (โครงการสร้างเสริมผลลัพธ์ที่ดีทางสังคม) ซึ่งเป็นความพยายามร่วมกัน นำโดยมูลนิธิบ้านเด็ก (BDF) โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคการก่อสร้าง เพื่อปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และการเข้าถึงบริการสาธารณะสำหรับแรงงานข้ามชาติและครอบครัวของพวกเขา  

ด้วยการเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับความรู้ด้านสุขภาพ หลักสูตรการฝึกอบรม และบทเรียนสำคัญจากโครงการนี้ บริษัทในภาคการก่อสร้างจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและสนับสนุนการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่และการเข้าถึงการดูแลสุขภาพสำหรับแรงงานและลูก ๆ ของพวกเขา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในด้านการลดความเสี่ยงในแคมป์งานก่อสร้าง ปรับปรุงการรักษาพนักงาน และสอดคล้องกับกรอบงานด้านความยั่งยืนและการรายงานที่มีอยู่ 

ในท้ายที่สุด โมเดลนี้จะสร้างวงจรที่มีคุณค่า (virtuous cycle) ซึ่งผู้คน ธุรกิจ และสังคมต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและยั่งยืน


(1) สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว

(2) มูลนิธิเครือข่ายพัฒนาบ้านเด็กและยูนิเซฟประเทศไทย, “สร้างอนาคตในประเทศไทย: การสนับสนุนเด็กที่อาศัยอยู่ในแคมป์ไซต์ก่อสร้าง,” 2561

(3) มูลนิธิเครือข่ายพัฒนาบ้านเด็กและยูนิเซฟประเทศไทย, “สร้างอนาคตในประเทศไทย: การสนับสนุนเด็กที่อาศัยอยู่ในแคมป์ไซต์ก่อสร้าง,” 2561

(4) บัตรประกันสุขภาพแรงงานข้ามชาติให้การประกันสุขภาพขั้นพื้นฐานและครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย การบาดเจ็บ หรืออุบัติเหตุ บัตรประกันสังคมออกให้กับแรงงาน (รวมถึงแรงงานข้ามชาติ) ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันสังคมของไทย 

(5) อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นโครงการดูแลสุขภาพในระดับชุมชนภายใต้กระทรวงสาธารณสุข โดยมีอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมให้บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน ให้ความรู้ และให้การสนับสนุนในระดับท้องถิ่น พวกเขามีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงบริการสุขภาพ และเฝ้าระวังและป้องกันโรคในชุมชนของพวกเขา

สรุปภาพรวม

*โครงการที่ได้กล่าวถึงในเอกสารฉบับนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก Global Development Network (GDN) และกระทรวงการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่น ภายใต้การแข่งขัน Global Development Awards โดยความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้ไม่จำเป็นต้องสะท้อนถึงความคิดเห็นของ GDN หรือกระทรวงการคลังของรัฐบาลญี่ปุ่นแต่อย่างใด